เรื่องเล่าตำนานผีญี่ปุ่น – ตอนที่ 1

japan-0005

การท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น นอกจากเที่ยวตามแหล่งช้อปปิ้ง  แหล่งเที่ยวตามธรรมชาติแล้ว  ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่เริ่มสนใจในเรื่องวิถีความเป็นอยู่ ความเชื่อในแต่ละท้องถิ่น รวมทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ชอบศึกษาเรื่องลี้ลับต่างๆมากขึ้น  เช่น ปัจจุบันจะมีกลุ่มที่ชอบตระเวนไปตามสถานที่ที่มีตำนานต่างๆ ทีมสารคดี เป็นต้น   ดังนั้นเรื่องราวที่เป็นตำนานจึงถูกเปิดเผยมากขึ้นท่ามกลางความก้าวหน้าของเทคโนโลยี  หากจะว่าไปประเทศญี่ปุ่นเองก็ถือว่าเป็นประเทศในเอเชียลำดับต้นๆที่มีเรื่องเล่าตำนาน และยังคงไว้ซึ่งความเชื่อต่างๆอยู่มาก

วันนี้ทัวร์ญี่ปุ่นจะพาคุณไปรู้จักกับตำนานเหล่านั้น  และหลายๆสถานที่ที่กล่าวถึงในตำนานก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยมไปเยือนมากเสียด้วย  ใครพร้อมแล้วเตรียมตัวฟังกันได้เลยจ้ะ 

ในปี ค.ศ. 1780 นักปราชญ์และศิลปินนาม โทะริยะมะ เซคิเอ็น ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ ภูตผีปีศาจ ของญี่ปุ่น ทั้งที่สิงสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ตลอดจนที่อยู่บนสวรรค์ และ ในนรก เขาพยายามแบ่งแยก ผี ออกเป็นชนิดต่างๆ ตามลักษณะที่มันปรากฏร่างให้เห็น ซึ่งนับเป็นเรื่องยุ่งยากเอาการทีเดียว เนื่องจากผี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอะบะเกะ สามารถปรากฏให้เห็นได้สารพัดรูปแบบ นอกจากโอะบะเกะแล้ว โทะริยะมะ ยังได้รวมเอาบรรดา ผี ปีศาจ ปอบ เปรต และ อสุรกาย มาไว้เป็นพวกเดียวกัน เรียกว่า โยวไค นอกจากนั้นแล้วก็เป็นผีประเภท วิญญาณของคนตาย ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ยูเร

ผีญี่ปุ่นแต่โบราณมานั้นมีอยู่ 3 ประเภท คือ

(1) โอบะเกะ Obage [ お化け] = โอบะเกะนั้นแปลตรงๆ ตามความหมายของมันก็คือผี ปกติจะอยู่ในรูปของกลุ่มไอหมอกประหลาดสีดำที่ล่องลองไปตามท้องถนนยามค่ำคืน ซึ่งเมื่อโอบะเกะนั้นเข้าสิงสิ่งใดไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งเหล่านั้นก็จะกลายร่างเป็นผีไปทันใด เช่น ถ้ามันเข้าสิงร่มเก่าๆ ที่มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว ร่มนั้นก็จะถูกกลุ่มไอปิศาจอาบมันจนกลายเป็นดวงตาใหญ่โตแสยะยิ้ม หรือที่คนโบราณเรียกว่าผีร่ม ส่วนเวลาปรากฏตัวของโอบะเกะนั้นส่วนมากจะเป็นตอนกลางคืน มันจะล่องลอยไปในท้องถนนยามค่ำคืนและพยายามหาร่างสิงสู่ของมัน วันดีคืนดีชาวบ้านมักจะพบเกวียนเก่าที่ไม่มีคนขับวิ่งไปตามท้องถนนนั้นก็คือที่สิ่งสู่ของวิญญาณร้ายเหล่านี่

(2) โยวไค youkai [ 妖怪 ] = โยวไค นี้เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกเหล่าบรรดาภูติ ผี ปิศาจ ปอบ เปรต และอสุรกายที่มีมาแต่ช้านาน ซึ่งแหล่งที่อยู่เดิมของเหล่าผีพวกนี้คือขุมนรกบ้าง สวรรค์บ้าง บนโลกมนุษย์บ้าง เวลาปรากฏตัวของเหล่าโยวไกนั้นจะเริ่มตั้งแต่ยามโพล้เพล้เป็นต้นไป เช่น ช่วงที่ใกล้ค่ำแล้วท้องฟ้าจะเป็นสีแดง ชาวบ้านมักจะพูดเสมอว่าเวลานี้เป็นเวลาผีออกหากิน และมีธรรมเนียมจะไม่เดินทางไกลในช่วงนี้ เหล่าโยวไคนี้มีมากมายหลายชนิด มีบันทึกเรื่องราวพิศดารนี้อยู่ตามบันทึกญี่ปุ่น เหล่าโยวไคนั้นมีมากหลาย มีทั้งแบบน่าตลกขบขันไปจนถึงน่ากลัวจนขนหัวลุก

(3) ยูเร yurea [ 幽霊 ] = ยูเร นี้เป็นวิญญาณคนที่ตายไปโดยไม่ทันได้ดับจิต หรือที่เรียกกันว่า ผีตายโหง ด้วยจิตคิดพยาบาทดั่งไฟสุมของดวงวิญญาณเหล่านี้ ทำให้ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ มีตำนานวิญญาณของหญิงสาวที่โผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำเก่าเล่าขานมากมาย สร้างความหวาดผวาไปทั่ว ยูเรนั้นมีอยู่ทั่วทุกแห่งไม่ว่าจะตามสนามรบเก่า ซึ่งยูเราเหล่านั้นจะเป็นชายชาตินักรบที่ตายอย่างสมศักดิ์ศรี วันดีคืนดีชาวบ้านที่เดินทางผ่านสนามรบเก่าก็จะพบเห็นเหล่ากองทัพผีซามูไรพุ่งรบกันอย่างไม่รู้แพ้รู้ชนะ ตามท้องถนนทั่วไปจะเป็น ยูเร ที่ตายในอุบัติเหตุทำนองเดียวกับผีตายโหง และเหล่าสัมภเวสีต่างที่ล่องลอยไปตามที่ต่างๆ รอวันผุดเกิด เวลาเหมาะสมที่ ยูเร จะปรากฏตัวนั้นคือหลังเที่ยงคืนแต่ ยูเร บางตนก็สามารถปรากฏตัวลางๆได้ในเวลากลางวัน และยูเรส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเพศหญิง เพราะผู้หญิงนั้นมีความอาฆาตพยาบาทที่น่ากลัวจริงๆ

               ว่าแล้วในตอนหน้า ทัวร์ญี่ปุ่นจะพาคุณไปพบกับเรื่องเล่าและตำนานต่างๆ  เตรียมตัวคุณให้พร้อมนะ

ทัวร์ญี่ปุ่นแนะเที่ยววัดในญี่ปุ่น

สำหรับท่านไหนที่วางแผนพาครอบครัวที่มีผู้ใหญ่ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นด้วยนั้น วันนี้ทัวร์ญี่ปุ่นเลยขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแนววัดวาอารามมานำเสนอ  ไปติดตามชมกันเลย

เนื่องด้วยปัจจุบันความเจริญทางด้านวัตถุมีผลกระทบต่อจิตใจมนุษย์เรามากพอสมควร ผู้คนต่างไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ และไม่ใช่เพียงแต่คนไทยเท่านั้น หากแต่คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยก็มีความเชื่อในเรื่องโชคลางและวัตถุมงคลซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจเหมือนกันวัดในภาษาญี่ปุ่นนั้นเรียกว่า “โอเทระ”(otera) ถ้าเป็นศาลเจ้าจะใช้คำว่า “จินจะ” ( Jinjya) โดยสมัยก่อนนั้นมีการสร้างวัดในประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก จากการสำรวจของหนังสือบางฉบับกล่าวไว้ว่า ธุรกิจครอบครัวที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ได้แก่ ครอบครัว Kongo Gumiซึ่งทำธุรกิจการสร้างวัดในญี่ปุ่น แต่ผลจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในยุคฟองสบู่ได้ขายกิจการให้แก่บริษัทอื่นไปโดยดำเนินการมาทั้งสิ้น 1,428 ปีปัญหาสังคมพุทธศาสนาในญี่ปุ่นนั้นส่วนหนึ่งมาจากอัตราการเกิดของประชากรชาวญี่ปุ่นที่ลดจำนวนลง ส่วนคนยุคใหม่ที่จะช่วยในการสนับสนุนพระพุทธศาสนานับวันจะมีน้อยลงทุกที หลายๆวัดในญี่ปุ่นจึงมีการปรับกิจกรรมให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนไปในปัจจุบัน จุดเด่นของวัดในญี่ปุ่นนั้นแตกต่างกันไป บางวัดมีชื่อเสียงเรื่องการจัดสวน ซึ่งสวนของญี่ปุ่นนั้นสร้างตามหลักความเชื่อของลัทธิเต๋า และพุทธศาสนานิกายเซน ที่สอนให้มนุษย์อยู่กับธรรมชาติอย่างสันติ บางวัดโดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมที่งดงามและหาดูได้ยาก หรือวัดบางแห่งมีชื่อเสียงเรื่องการขอพรบางประการเช่น ขอบุตร ขอให้ประสบความสำเร็จเรื่องการเรียน ความรักหรือการค้าขาย เป็นต้น ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสไปประเทศญี่ปุ่น ก็จะหาโอกาสเข้าวัดให้ได้ทุกครั้ง สิ่งที่สังเกตก็คือวัยรุ่นและครอบครัวชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยเลือกมาวัดในเวลาที่ต้องการพักผ่อนหย่อนใจ มิใช่เพียงแต่เฉพาะเวลาที่ต้องการที่พึ่งทางจิตใจ เราลองมาดูกันว่าเขาทำอะไรในวัดญี่ปุ่นและมีความเชื่ออะไรบ้างที่คล้ายคลึงกับประเทศไทยเรา

1. บ่อน้ำชำระใจ

เวลาทัวร์ญี่ปุ่นไปวัดที่ประเทศญี่ปุ่น ทุกวัดจะมีการจัดตั้งบ่อน้ำไว้บริเวณทางเข้าวัดเพื่อชำระล้างร่างกายและจิตใจให้สะอาด โดยบริเวณบ่อน้ำจะมีกระบวยวางอยู่ วิธีที่ถูกต้องคือใช้กระบวยตักน้ำล้างมือขวา จากนั้นล้างมือซ้ายและบ้วนปาก ท้ายสุดให้ใช้มือจับที่ปลายไม้ของกระบวยแล้วค่อยๆยกตั้งฉากเพื่อให้น้ำไหลล้างผ่านกระบวย เสร็จแล้ววางที่เดิม

2. กวักตามความเชื่อ

หากใครเคยไปที่วัดอาซากุสะ ( Asakusa) หรือบางท่านเรียกว่า “วัดเซนโซจิ “หรือวัดโคมแดง เพราะมีโคมแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีความสูงถึง 4.5เมตร ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัด ผู้คนที่มาวัดนี้ก็มาเพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิมทองคำองค์เล็กที่ประดิษฐานอยู่ที่นี่ ซึ่งมีขนาดเพียง 5.5ซ.ม. สิ่งที่ผู้คนนิยมทำกันก็คือการกวักควันธูปเข้าหาตัว เพราะมีความเชื่อว่าจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ บ้างก็เชื่อว่ากวักไว้เพื่อจะได้มีโอกาสกลับมาประเทศญี่ปุ่นอีก จะเชื่อหรือไม่คงแล้วแต่ความศรัทธา

3. เซียมซีเสี่ยงโชค

คนญี่ปุ่นเองก็เหมือนคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เชื่อในโชคชะตาฟ้าลิขิต ความนิยมเสี่ยงเซียมซีหรือโอมิคุจิ (Omikuji ) เป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบไม่แพ้คนไทย ไม่ว่าจะที่ญี่ปุ่นหรือประเทศไทยก็ใช้วิธีการเสี่ยงเซียมซีวิธีเดียวกัน โดยการเขย่าจนได้ตะเกียบแท่งแรกที่ตกลงมา และจะระบุตัวเลขที่ทำนายโชคชะตาแต่ละใบเอาไว้ บางแห่งจะเขียนคำทำนายเฉพาะภาษาญี่ปุ่น ที่แม้กระทั่งคนญี่ปุ่นเองยังต้องกุมขมับ เพราะใช้ตัวอักษรคันจิที่ยากและภาษาที่ต้องแปลจากญี่ปุ่นเป็นญี่ปุ่นอีกที คงคล้ายๆกับของบ้านเราที่มักเขียนคำทำนายในรูปแบบกลอน ซึ่งผู้ที่ได้รับต้องค่อยๆลุ้นแปลทีละประโยค แต่ท้ายสุดทุกท่านก็คงแค่อยากรู้ว่าดีหรือไม่ดี วัดใดที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากหน่อยจะพิมพ์คำทำนายเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้ ก็สบายใจได้ที่ไม่ต้องไปพึ่งพาคนญี่ปุ่น หลายท่านเข้าวัดแล้วเจอกิ่งไม้ที่มีกระดาษขาวๆพับไว้ตามจุดต่างๆเต็มต้นคงอยากทราบว่าคืออะไร ใครที่ได้รับข้อความที่อ่านแล้วรู้สึกไม่สบายใจหรือสรุปว่าไม่ดีก็สามารถผูกไว้ตามกิ่งไม้หรือบนเชือกในบริเวณที่ทางวัดจัดไว้ให้ สังเกตว่าแต่ละวัดมีคนผูกไว้จนเต็มต้นเลย ไม่แน่ใจว่าโอกาสของคนที่จะรับข้อความดีๆนั้นจะมีสักกี่คนกันเชียว อ่านไว้เพื่อเป็นแนวทางก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าใครที่อ่านข้อความไม่ดีแล้วมักมีผลกระทบต่อจิตใจ ก็ขอแนะนำว่าอย่าไปพึ่งการทำนายเซียมซีดีกว่า ยังไงสิ่งที่ดีที่สุดนั้นคือ”อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

4. วัตถุมงคลดลใจ

หลายๆวัดมีการจัดทำวัตถุมงคลที่สามารถนำกลับไปเป็นของฝากให้กับคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงได้อย่างดี ที่นิยมกันมากคือเครื่องรางนำโชค ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โอมาโมหริ “(Omamori) ซึ่งในถุงเครื่องรางนั้นอาจจะมีข้อความที่พิมพ์ลงบนกระดาษหรือใช้วัสดุที่ผ่านการทำพิธีทางศาสนาและนำมาบรรจุใส่ถุงผ้าที่มีลวดลายน่ารัก เก๋ไก๋ อย่างลายอิ๊กคิวซังหรือคิตตี้ก็มีจำหน่าย สามารถนำมาห้อยโทรศัพท์หรือกระเป๋าได้หรือสามารถพกไว้ในกระเป๋าสตางค์ โดยทางวัดจะจัดถุงเครื่องรางเหล่านี้แบ่งออกตามวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง (Travelling) การเงินการค้าขายที่ดี ( Trading ) ให้สมหวังกับความรัก (Love ) เพื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรงและอายุยืน (Health) การเรียน(Study) หรือแม้กระทั่งการคลอดบุตรให้ปลอดภัย (Deliver Kids) ทั้งนี้ก่อนซื้อก็ดูให้ตรงตามที่ต้องการนะคะ ถ้าไม่ทราบก็จำความหมายของแต่ละคำไว้ให้ดีนะคะ วัดที่มีชื่อเสียงทางด้านการศึกษาที่สุดในญี่ปุ่นคือ “วัดดาไซฟุ “( Dazaifu ) อยู่ที่เมืองฟุกุโอกะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ยังไงใครที่อยากขอพรเรื่องการเรียนก็อย่าลืมหาโอกาสแวะไปนะ

5. สมหวังในรักต้องวัดนี้เลย

เคยไปแวะวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกียวโตที่มีชื่อว่า “วัดคิโยมิสึ”  ซึ่งมีความหมายว่าน้ำบริสุทธิ์ และมีวิหารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จุดเด่นคือการก่อสร้างวิหารไม้นี้ทั้งหมดไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว วัดนี้มีชื่อเสียงเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลจากภูเขาซึ่งจะแยกออกเป็น 3สาย คือ สายความรัก สายการเงิน และสายสุขภาพ แท้จริงแล้วก็ไหลมาจากต้นสายเดียวกัน แต่คงเพื่อความสบายใจของที่มาขอพร เวลายืนมองคนที่เข้าแถวเพื่อจะรอดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ก็นึกขำอยู่ในใจเพราะบางท่านที่ทำใจเลือกสายใดสายหนึ่งไม่ได้ก็จะดื่มทั้งสามสาย ไหนๆกล่าวถึงวัดนี้แล้ว บางท่านไม่เคยทราบว่าภายในวัดนี้ยังมีศาลเจ้าเล็กๆที่ชื่อว่า “ศาลเจ้าเกียวโตจิชู “(Kyoto jishu shrine) ซึ่งจะเน้นเรื่องความรัก เมื่อขึ้นไปบนศาลเจ้าจะเห็นหินก้อนใหญ่บนพื้นที่วางห่างกันประมาณ 10เมตร อยู่สองก้อน เพื่อเป็นการทำนายโชคชะตาความรัก ก็จะนิยมปิดตาแตะหินก้อนหนึ่งและเดินไปแตะหินอีกก้อนหนึ่งให้ได้ ซึ่งเชื่อกันว่าความรักที่คุณมีอยู่นั้นจะสมหวัง แต่สิ่งที่สมหวังแท้จริงแล้วน่าจะเป็นเรื่องมิตรภาพของคนรอบข้างที่เป็นแรงเชียร์ให้คุณแตะหินได้อย่างสำเร็จมากกว่า เพราะมันเป็นความรู้สึกที่คุณสัมผัสได้จริง

6. พรจากแผ่นไม้

การขอพรของชาวญี่ปุ่นนอกเหนือจากการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดนั้นๆแล้ว ชาวญี่ปุ่นนิยมเขียนคำขอพรลงบน Ema(เอมะ) หรือแผ่นไม้ที่มีน้ำหนักเบาตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมหรือรูปต่างๆ รวมทั้งพิมพ์รูปสัญลักษณ์ประจำวัดนั้นๆ อาทิ รูปเณรน้อยอิกคิวซัง สำหรับวัดคิงคะคุจิหรือวัดปราสาททอง รูปสุนัขจิ้งจอกสำหรับวัด Fushimi Inaritaisha ซึ่งเป็นวัดที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องเกอิชา เป็นต้น โดยผู้ขอพรจะเขียนคำขอลงบนกระดาษแล้วนำไปแขวนไว้ เชื่อกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะรับรู้ไม่ว่าคุณจะเขียนป้ายเป็นภาษาใด โดยในแต่ละวัดจะมีจำหน่ายแผ่นเอมะนี้ทุกแห่ง

7. เหรียญสมปรารถนา

ก่อนทำการขอพร คนญี่ปุ่นมักจะโยนเหรียญลงในกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่มีช่องโยนเหรียญ ซึ่งกล่องนี้จะเรียกว่า “ไซเซ็นบาโกะ “(Saisenbako ) วิธีการคือ โยนเหรียญลงในกล่อง จากนั้นตบมือสองครั้งและทำการภาวนาอธิษฐาน หากบางแห่งแขวนกระดิ่งไว้ด้านบนก็สั่นกระดิ่งก่อนตบมือ เชื่อกันว่าเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ยินคำอธิษฐาน คนญี่ปุ่นเองนิยมโยนเหรียญห้าเยนที่มีสีทองและรูตรงกลาง เหรียญห้าเยนในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โกะเอ็นดามะ “ซึ่งคำว่า “โกะเอ็น “เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำว่าโชคชะตา จึงนิยมใช้เพื่อให้สมความปรารถนา และบางท่านเชื่อว่าเหรียญที่มีรูจะนำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายลอดผ่านรูนี้ออกไป ซึ่งก็แล้วแต่ความเชื่อที่แตกต่างกันไป

8. แมวอ้วนชวนให้โชค

ในบ้านเรามีนางกวักเป็นเทพสัญลักษณ์ของการเรียกเงินเรียกทองของผู้ที่ทำการค้า แต่ในภาคญี่ปุ่นนั้น หลายท่านคงคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีกับเจ้าแมวตัวกลมที่ยกมือขึ้นข้างลำตัว บางท่านถามว่าการกวักโดยมือซ้ายและมือขวานั้นมีความหมายเหมือนกันหรือไม่ แมวกวักในภาษาญี่ปุ่นนั้นเรียกว่า “มาเนะกิเนะโกะ “(Manekinekko ) ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายมาจากการเชื้อเชิญและแมวมาผสมกัน สำหรับการกวักมือขวานั้นเชื่อว่าเป็นการเรียกเงินทองและโชคดีเข้าบ้าน ส่วนการกวักมือซ้ายนั้นเพื่อการเรียกลูกค้า นิยมวางตามร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ ยิ่งยกแขนสูงมากลูกค้ายิ่งเยอะ เพราะฉะนั้นบางตัวจะดูแขนยาวกว่าปกติ บางตัวถือปลา เชื่อว่าจะมีกินมีใช้อุดมสมบูรณ์ตลอดไป หรือถ้ามีกลอง ก็เป็นการเคาะเรียกเงินทอง แมวถือลูกแก้วและพนมมือคือการขอพร ส่วนแมวดำที่บ้านเรากลัวๆนั้น คนญี่ปุ่นจะใช้เป็นเครื่องรางป้องกันภัยอันตรายต่างๆ

9. ความเชื่อที่น่าสน

สุดท้ายขอฝากเรื่องความเชื่อที่ญี่ปุ่นมีเหมือนบ้านเราคือ เรื่องของตัวเลข ตัวเลขที่คนญี่ปุ่นไม่นิยมคือ เลขสี่ เพราะออกเสียงว่า “ชิ”ที่มีความหมายว่าตาย และอีกตัวเลขคือเลข เก้า ซึ่งอาจจะตรงข้ามกับคนไทยที่ชอบเลขเก้า ที่พ้องกับความหมายว่าก้าวหน้า แต่สำหรับญี่ปุ่นนั้นออกเสียงว่า “คุ”ซึ่งพ้องกับความหมายว่าลำบาก คนญี่ปุ่นเองยังเชื่อในเรื่องของอายุที่ควรระวัง ได้แก่อายุที่ครบ 19ปี 33ปี และ 42ปี โดยปีเหล่านี้จะถูกเรียกว่า “ยะคุโดชิ” ซึ่งแต่ละปีจะมีการออกเสียงที่พ้องกับความหมายที่ไม่ดี อาทิ ความลำบาก ความสูญสิ้น ความตาย เป็นต้น ดังนั้นใครที่มีอายุครบตามปีเหล่านี้ก็จะนิยมไปทำบุญเพื่อความสบายใจและเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับตนเอง